วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องราวของชาวราศีพิจิก

ตำนานราศรีพิจิก


ราศีพิจิก


24 ตุลาคม - 22 พฤศจิกายน สวัสดี ท่านผู้อ่าน ผมกำลังจะนำคุณเข้าสู่มิติอันลึกลับ ให้คุณได้รู้จักกับกลุ่มชนภายใต้อิทธิพลของดาวพลูโต ภายใต้สัญลักษณ์ของแมงป่อง ผู้ซ่อนพิษร้ายไว้ที่หาง มาซิครับ มาเรียนรู้ความลึกลับของชาวราศีนี้ว่าสะพรึงกลัวขนาดไหน แบบ Shock Cinema นั่นแล ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ

ชาวราศีพิจิกอยู่ในธาตุน้ำ ซึ่งเมื่อมองดูผาดผิวภายนอกจะเห็นความสงบเยือกเย็น แต่ใครจะรู้เล่าว่าใต้ผิวน้ำนิ่งนั้นซ่อนอะไรไว้บ้าง อาจจะมีความปั่นป่วนที่เรียกกันว่าคลื่นใต้น้ำ และเมื่อยามทะเลคลั่งใครเลยจะต้านทานได้ ตามตำนานกรีกเชื่อกันว่าธาตุน้ำเป็น Home of the soul, the psyche (พลังอำนาจลึกลับ) เป็นตัวแทนของ Feeling, Emotion และ Sexual


หนุ่ม-สาวแมงป่องนั้นสังเกตไม่ยาก ประการแรกเลยให้ดูที่ตาที่จะส่อแววแข็งกร้าว ชายมักมีนัยน์ตาสีเหล็ก มองดูคุณเหมือนจะทะลุจิตวิญญาณบ้างก็มีตาดำขลับดูลึกลับ มองลงไปแล้วจมลึก หาที่สิ้นสุดมิได้รูปร่างถ้าไม่แกร่งเกร็งก็จะอ้วนหนาไปเลย

ถ้าคิดจะจับหนุ่มสาวขาวพิจิก คุณต้อง Serious ใครคิดจะลองเล่น ๆ ต้องระวังนี่ คือ แมงป่อง! และถ้าถามถึงขบวนการกึ๊กกึ๊ยละก็ ชาวพิจิกเต็มพิกัดเรียกว่า A Plus In Sex! ทีเดียว



พวกนี้เหมือนมีพลังเข้มอยู่ในตัว, มีแรงดึงดูดที่เรียกว่า Magnetic แม้เพียงเขานั่งอยู่เฉย ๆ คุณก็จะรู้สึกได้เหมือนว่าเขานั่งเกร็งกำลังภายในอยู่ตลอดเวลา อันความเข้มนี้ (Intensity) จะถูกแสดงออกมาจากใบหน้าและคำพูดคำจาของเขา เรียกว่าเป็นคนมีอารมณ์รุนแรงแอบซ่อนอยู่ภายในก็ไม่ผิด ชาวแมงป่องเป็นคนที่มีพลังใจตั้งมั่นสูงมาก (Strength of will) และไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงความคิดเขาได้จัดเป็นพวกหัวดื้อรั้นแบบสุดขั้วเลยทีเดียว

เขาเป็นคนหลงอำนาจ (Passion of power) มากกว่าเงินทองทรัพย์สมบัติ ชอบทำตัวเป็นตุลาการตัดสินการกระทำของคนอื่นแบบไม่ไว้หน้าใคร จะเรียกได้ว่าบางครั้งก็***มโหด เย็นชาหรือเลือดเย็น จริง ๆ ที่สำคัญเขากลับไม่ชอบ (ถึงขั้นรับไม่ได้) ถ้าจะมีคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์เขา ส่วนมากแล้วชาวราศีพิจิกจะเก็บซ่อนความรู้สึกส่วนตัวเองไว้ไม่ให้ใครรู้เห็น แต่ถ้าเขาโมโหขึ้นมา ไต้ฝุ่นเกย์ก็ต้องชิดซ้ายไปเหมือนกัน เขาว่ากันว่าชาวราศีนี้เวลานั่งเงียบ ๆ จะดูเข้มและมีพลังมากกว่า ใครอย่าได้ไปตอแยเข้าเชียว อย่าลืมว่านี่คือสัตว์ที่มีพิษร้ายซ่อนอยู่ที่หาง!

เขาเป็นคนช่างวิจารณ์ และเขาจะบอกข้อบกพร่องของคุณอย่างตรงไปตรงมาถึงขั้นเจ็บกระดองใจทีเดียว ก็อย่างที่บอกละครับว่าเขาเป็นคนบ้าอำนาจไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เขาจะเอาชนะไม่ได้ ความทะเยอทะยานมุ่งมั่นที่เขาตั้งเป้าหมายไว้นั้น ไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหนจะอีกนานเท่าไหร่ เขาก็ต้องฟันฝ่าไปให้ถึง (ถ้าไม่ตายเสียก่อน) เรียกว่าถ้ายังมีพรุ่งนี้แน่นอน ถึงจะต้องคลานไปบนคมมีดโกน เขาก็จะไป (สยองมั้ยเนี่ย)

ชาวพิจิกไม่เคยทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ และเมื่อพูดถึงความรักเขาก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่เขารักเช่นกัน และเมื่อเขามอบหัวใจให้คุณแล้ว เขาก็หวังจะได้รับการตอบสนองจากคุณเช่นกัน ชาวพิจิกไม่ตัดสินใจผลีผลาม เขาจะเฝ้ามองจนแน่ใจแล้วว่าคุณมาทางเขาแน่แล้วก็ฟับ! อยู่หมัด ก็เขากลัวหน้าแตกนี่ครับ เรื่องเสียฟอร์มนี่ชาวราศีนี้ทนไม่ได้เช่นกัน

มันมีทางเลือกอยู่สองทางคือ ถ้าคุณชอบหรือไม่ก็เกลียดไปเลยแต่ไม่มีทางที่คุณจะรู้สึกเฉย ๆ กับชาวราศีนี้ได้ เมื่อคุณผ่านเข้าไปในเส้นทางของเขามันเป็นการยากที่คุณจะซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงต่อราศีนี้ก็บอกแล้วว่าดวงตาเขาเจาะลึกถึงวิญญาณ แต่ชาวพิจิกไม่ค่อยไว้ใจใครง่าย ๆ หรอกครับ ออกจะขี้ระแวงกับใครสักคนที่เดินเข้ามาหาเขาแต่เมื่อใดที่เขายอมรับคน ๆ นั้นเป็นเพื่อน เขาก็จะคบคุณไปยาวนานและเป็นเพื่อนที่ช่วยเหลือคุณได้เมื่อยามเดือดร้อน Sure

ใครที่ชอบคุย ชอบถกเถียง วิเคราะห์ปัญหามาเลย ชาวราศีนี้ถนัดนัก และเขาก็มีมุมมองในแบบของเขาที่จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ถ้าความเห็นไม่ตรงกันเขาก็จะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับคุณไปโดยปริยายเขาคิดยังไงก็พูดยังงั้น ยกเว้นเรื่องส่วนตัว เขาไม่ค่อยเปิดเผย และก็ไม่รู้จะพูดยังไงด้วยมันกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก (เขินว่ะ)


ชาวแมงป่องมักจะมีเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ อันเหนียวแน่น ยิ่งเป็นเพื่อนในวัยเด็กละก็ยาว แต่เมื่อโตขึ้น เขาไม่ค่อยเป็นเพื่อนกับใครง่าย ๆ หรอก เขาซ่อนความอิจฉาไว้ลึก ๆ กับคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเขา บางครั้งก็เก็บไว้ไม่อยู่ต้องเปรียบเปรยออกมาด้วยคำพูดเสียดสีแทงใจ แม้แต่กับเพื่อนของเขาเองก็เหอะ ถ้าทำท่าว่าจะข้ามหน้าข้ามตาไปก็อาจจะโดนหางแมงป่องวกมาฉกแบบเลือดเย็นได้เหมือนกัน โปรดระวัง!

อยากจะคบกับเขานาน ๆ ก็ต้องยอมรับหรือยอกันบ้าง (แต่อย่าให้เว่อร์จนเขาจับได้) เพราะเขาอยากให้ทุกคนรับรู้กับชื่อเสียงและความสำเร็จที่เขาได้มา (ด้วยความเหนื่อยยากแทบรากเลือดลงแดง) Startus symbols are a must! สิ่งที่เขาปรารถนาคือ การยอมรับนับถือและคำยกย่องเรื่องเงินไม่เป็นไร นี่ถ้ากินลมได้ พวกแมงป่องคงกินไปแล้วเรียกว่าชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่เท่านั้นที่พวกเขาต้องการ


สาวแมงป่องก็ไม่แตกต่างไปจากหนุ่มแมงป่องเท่าไรนัก เธอเป็นคนขึ้ระแวง ถ้าจะคบใครหรือรักใครสักคน แต่ถ้ารักแล้วก็จะซื่อสัตย์อย่างแท้จริง และถ้าเกลียดก็โกรธแค้นไปจนตาย (แน่นอน แค้นนี้ต้องชำระ)


ใครที่อ่อนแอจะถูกชาวราศีนี้สมน้ำหน้าซ้ำด้วยคติที่ว่า ชีวิตต้องสู้ความแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะพาเรายืนหยัดและมีชีวิตรอด ส่วนมากสาวราศีนี้เป็นฝ่ายเลือกคู่ของเธอเองมากกว่าจะยอมถูกเลือก เธอว่าเธอเจ๋งแน่แล้ว คุณตกเป็นเหยื่ออันโอชะของแม่แมงป่องสาวในชุดสีดำ อย่าทำเป็นเล่นไป เธอเอาจริงนะคุณจับคุณอยู่หมัดทีเดียวแหละ และเมื่อคุณเป็นของเธอแล้ว ใครจะมายุ่งไม่ได้เด็ดขาด ขี้หึงสุดเดชเหมือนกัน

She isn't exactly the easiest person to love with ก็แน่ละ เธอช่างตำหนิวิจารณ์คุณอย่างตรงไปตรงมา ทำอะไรก็ต้องโป๊ะเช๊ะเด็ดขาด โชว์ความแข็งแกร่งให้เธอเห็นหน่อย ผู้หญิงแกร่งก็อย่างนี้แหละ (หาผัวยากหน่อย) เรื่องงานจะไม่มีปัญหา แมงป่องทั้งหลายถือว่ามือแน่ ค่าตัวแพง ให้ตำแหน่งดี ๆ หน่อยเงินน้อยหน่อยไม่ว่ากัน

Scorpio woman has strong appetites. What she likes, she likes a lot of, and this include sex. แน่ละครับ ชอบอะไรแล้วก็ต้องชอบสุด ๆ เรื่อง Sex ก็เหมือนกันสุดสุดไปเลย และอะไรถ้าเธอไม่ชอบเธอก็ไม่มีวันจะชอบ ไม่ว่าอาหารหรือคนและถ้าเธอชอบคุณเธออาจจะกินคุณเข้าไปทั้งตัว ถ้าเธอทำได้ (กึ๋ย..สยอง!)

อย่างไรก็ดี หลังจากตกร่องปล่องชิ้นคือ คุณเสร็จเธอเรียบร้อยแล้วถูกจับแต่งงานไปแล้ว เธอก็จะเป็นแม่ที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอาจจะเข้มงวดเอากับลูก ๆ มากไปหน่อย แต่นั่นก็คือความหวังดีมิใช่หรือและถ้ารับคุณเป็นฝาละมีละก็ เธอจะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณคือ The only one in the universe จริง ๆ โอ้โฮ...สุด ๆ ไปเลย

ข้อเสีย พวกแมงป่องชอบทำตัวลึกลับ ฉลาดแกมโกงหวงของมีความร้ายกาจสารพัดพิษ อย่างในตำราเขาว่า diabolical (ถึงขั้นชั่วช้าจัญไร) ทีเดียว ความเป็นคนมีอารมณ์รุนแรงที่ควบคุมได้ก็ดี แต่เวลาควบคุมไม่ได้ก็มีผลในทางลบมากกว่า ถ้าเขารู้สึกว่าโดนรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขต เขาจะโต้กลับ แบบว่าช่างคิดช่างแค้นน่าดู สามารถกระทำการ หักหลังเพื่อนฝูงที่เข้ามาขัดผลประโยชน์ตัวเองอย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้นและ Sex จัดน่าดู!

แมงป่องชั่วร้าย (บางตัว) มีความสุขที่ได้เปิดเผยจุดอ่อนหรือข้อด้อยของผู้อื่นโดยไม่สนใจใครแต่ถ้าใครมาวิจารณ์ตัวเองละก็รับไม่ได้ รับไม่ได้จริง ๆ เรียกว่าเป็นคน Sadist ชอบเห็นความเจ็บปวดของคนอื่นเพราะตัวเองเป็นคนขมขื่นมาแต่ไหนแต่ไร พอดีกว่านะครับเดี๋ยวท่านที่มีเพื่อนราศีนี้จะโกรธกันเสียเปล่า ๆ ทำดีกันไว้เถอะไม่เสียหลาย IDEAL PARTNER ชาวพิจิกเชื่อว่า Nothing is impossible พวกเขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และมุ่งไปสู่จุดนั้นอย่างมาดมั่นและอดทน ก่อนที่จะคบใครเขาเช็คประวัติคุณอย่างละเอียดไม่แพ้ FBI เขาและเธอไม่ไปกับใครมั่วซั่วนอกจากคน ๆ นั้นต้องมีกึ๋นพอสมควร


ราศีที่พอจะคบกันได้อย่างถูกคอ ก็เห็นจะเป็น กรกฎ (Cancer) ตามด้วย มีน (Pisces) ซึ่งเข้ากันได้กับทุกราศีแหละครับ ทั้งสองราศีนี้มีความเหมือนก็ตรงที่เก็บซ่อนความกลัวไว้ลึกถึงก้นบึง ไม่ค่อยเปิดเผยความเป็นตัวตนจริง ๆ ให้ใครเห็นง่าย ๆ ลักษณะภายนอกจึงแสดงออกเย็นชาเหมือนเล่นละครใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาแต่ภายในนั้นเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว


พิจิกทำงานหนักและมีเหตุผลมักมีมุมสงบพักผ่อนที่หลีกลี้จากสายตาผู้คนเขาตลกไม่เป็นหรือถ้าเป็นก็ดูเหมือนแสแสร้งฝืด ๆ ยังไงพิกล นาน ๆ จะเห็นพวกนี้หัวเราะสักที

LOVE & SEX

ผมมีเพื่อนราศีพิจิกอยู่หลายคน ทั้งหญิงและชาย ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่ราศีกุมภ์นั้นมีความต่างกับพิจิกแบบสุดขั้วเลยทีเดียว แฟนราศีพิจิกผมก็เคยมีมาแล้วบอกได้เลยว่าหนาวใจจริง ๆ เธอออกจะขึ้หึงเอาการ และเธอเป็นฝ่ายบุกมาชอบคุณเสียมากกว่าที่คุณจะเป็นฝ่ายไปจีบเธอ


ถ้าคิดจะจีบหนุ่มสาวราศีพิจิก นั่นหมายความว่าคุณคิดจะ Serious เพราะถ้าคิดจะลองเล่น ๆ ละก็อาจจะเจ็บตัว เธอจะฝากรอยแผลไว้เป็นที่ระลึก และในกระบวนการกึ๊กกึ๊ยละก็ชาวพิจิกมีเต็มเปี่ยมมากล้นเกินพอระดับ A Plus ทีเดียวละครับ A Plus In SEX!

ประการแรกเลย หนุ่มพิจิกต้อง Sure เสียก่อนว่าสัมพัธภาพระหว่างเขากับเธอนั้นอยู่ตรงจุดไหนเขารู้เพียงสบตาแว่บเดียว ว่าคุณผ่านมาแค่ไหน Virgin หรือ Like a Virgin คุณแสดงละครตบตาเขาไม่ได้หรอก ที่สำคัญเขาต้องการความซื่อสัตย์อย่างที่สุด

ข้อที่น่าสนใจคือ เขามี Sense พิเศษที่จะรู้ว่าคุณมีใจกับเขาหรือไม่ ความรักของเขาออกจะรุนแรงอยู่สักหน่อยถ้ารักแล้วก็ต้องฟิตซ้อมร่างกายให้ดีก็แล้วกัน อย่างไรก็ดี อย่างไหนถ้าคุณไม่ชอบเขาคงไม่ทำหรอก นอกจากอาจจะเผลอกัดหูหรืองับคุณเล่นให้แสบ ๆ คัน ๆ ไปทั่วแหละกึ๋ย...แล้วค่อนข้างจะเร็ว and ไม่เลือกสถานที่อยู่สักหน่อยขึ้นอยู่กับว่ามีอารมณ์ตอนไหน แหม...มันเดาใจยากจริง ๆ พูดง่าย ๆ มันเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่มี Fore Play เลย (ฝืดน่าดูอย่างเนี๊ยะ)


สาวพิจิกก็มีอารมณ์รุนแรงไม่แพ้ท่านชายและคงไม่เก็บ Virgin ของเธอไว้นานจนหยากไย่ ขึ้นหรอก เธอผ่านประสบการณ์มาบ้าง และระมัดระวังไม่ผลีผลามเหมือนตอนแรกรุ่น เธอไม่พยายามแสแสร้งที่จะเป็นสาวไร้เดียงสา

She wants the real thing at very early age และเมื่อเธอได้เจอ the right man ได้สอนให้เธอรู้จักความรักและ the meaning of what love-making is all about ทีนี้ล่ะไม่ต้องสอนกันแล้ว her sexuality will be fully developed

ก็ขอฝากเพียงว่า ถ้าต้องการใครสักคนที่รักจริงหวังแต่ง ราศีนี้ไม่ผิดหวังครับ สุด ๆ จริง ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เพลงของ JB

 
                                                                                   You smile
 
 
 
Oh
Yeah
Mmmm
I'd wait on you forever and a day
Hand and foot
Your world is my world
Yeah
Ain't no way you're ever gon' get
Any less than you should
Cause baby
You smile I smile (oh)
Cause whenever
You smile I smile
Hey hey hey
Your lips, my biggest weakness
Shouldn't have let you know
I'm always gonna do what they say (hey)
If you need me
I'll come running
From a thousand miles away
When you smile I smile (oh whoa)
You smile I smile
Hey
Baby take my open heart and all it offers
Cause this is as unconditional as it'll ever get
You ain't seen nothing yet
I won't ever hesitate to give you more
You smile I smile (whoa)
You smile I smile
Hey hey hey
You smile I smile
I smile I smile I smile
You smile I smile
Make me smile baby
Baby you won't ever work for nothing
You are my ins and my means now
With you there's no in between
I'm all in
Cause my cards are on the table
And I'm willing and I'm able
But I fold to your wish
Cause it's my command
Hey hey hey
You smile I smile (whoa)
You smile I smile
Hey hey hey
You smile I smile
I smile I smile I smile
You smile I smile
Oh
You smile I smile
You smile I smile
 
 
 
 
 
 

เพลงในวันคริสมาสต์


                                                             when a child is born




A ray of hope flitters in the sky
A shiny star lights up way up high
All across the land dawns a brand new morn
This comes to pass when a child is born


A silent wish sails the seven seas
The winds have changed whisperin the trees
And the walls of doubt crumble tossed and torn
This comes to pass when a child is born

A rosy fume settles all around
You’ve got the feel you’re on solid ground
For a spell or two no-one seems forlorn
This comes to pass when a child is born


And all of this happened
Because whe world is waiting
Waiting for one child
Black, white, yellow, no one knows
But a child that would grow up and turn tears to laughter
Hate to love, war to peace
And everyone to everyone’s neighbour
Misery and suffering would be forgotten forever


It’s all a dream and illusion now
It must come true, sometimes soon somehow
All across the land dawns a brand new morn
This comes to pass when a child is born










                                        Santa Claus is coming to town


You better watch out
You better not cry
Better not pout
I’m telling you why
Santa Claus is coming to town

He’s making a list
And checking it twice;
Gonna find out Who’s naughty and nice
Santa Claus is coming to town

He sees you when you’re sleeping
He knows when you’re awake
He knows if you’ve been bad or good
So be good for goodness sake!

O! You better watch out!
You better not cry
Better not pout
I’m telling you why
Santa Claus is coming to town
Santa Claus is coming to town







We wish you a Merry Christmas




We wish you a Merry Christmas,
We wish you a Merry Christmas,
We wish you a Merry Christmas,
And a Happy New Year !


Good tidings we bring
To you and your kin;
 Good tidings for Christmas
And a Happy New Year

Now bring us some figgy pudding,
Now bring us some figgy pudding,
Now bring us some figgy pudding,
And bring some out here !

!Good tidings we bring
To you and your kin;
 Good tidings for Christmas
And a Happy New Year


And we won't go until we've got some,
We won't go until we've got some,
We won't go until we've got some,

So bring some out here !








 

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

April Fool's Day      

           วันเอพริลฟูลส์ หรือเรียกในชื่ออื่นว่า วันโกหกเดือนเมษายน, วันเทศกาลคนโง่ เป็นเทศกาลในวันที่ 1 เมษายน วันนี้เป็นวันที่จะอนุญาตให้โกหกต่อกันได้ โดยไม่ถือโกรธ ในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับของวันนี้ อาจมีเหตุการณ์น่าตกใจ ตื่นเต้นเป็นหัวข้อข่าว แต่แล้วในวันรุ่งขึ้นต่อมาจึงได้เฉลยว่าข่าวที่ลงไปนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เทศกาลนี้เริ่มขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสและเป็นที่นิยมกันไปทั่วโลก ในประเทศไทยเริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา




            ความเป็นมา


ประเทศฝรั่งเศส ในยุคศตวรรษที่ 16 ตอนนั้นชาวฝรั่งเศสมีวันปีใหม่ตรงกับวันที่ 1 เมษายน กระทั่งมาถึง ค.ศ.1582 สันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 จึงกำหนดให้ชาวคริสต์ทั่วโลกฉลองวันปีใหม่พร้อมกันวันที่ 1 มกราคม
คราวนี้สมัยก่อน ข่าวสารไม่ได้กระจายรวดเร็วเหมือนสมัยนี้ คนบ้านนอกของฝรั่งเศสบางกลุ่มยังไม่รู้ แถมบางคนได้ยินแล้วก็ยังไม่เชื่อ เลยฉลองวันปีใหม่กันวันที่ 1 เมษายน เหมือนเดิม ทำให้พวกไม่ตกยุคเย้ยหยันพวกตกยุคว่า “หน้าโง่” แถมยังพยายามจะแกล้งหลอกคนกลุ่มนี้เพื่อความสนุกสนานอีกด้วยย้อนหลังกลับไปในศตวรรษที่ 16 ประเทศฝรั่งเศสถือว่าวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ ผู้คนจะพากันเฉลิมฉลอง จัดงานเลี้ยง และล้อมวงเต้นรำกันอย่างครึกครื้นจนถึงค่ำแต่มาในปี ค.ศ. 1592 พระสันตปาปาเกรเกอรี่ได้ประกาศใช้ปฏิทินใหม่สำหรับชาวคริสต์ ทำให้วันปีใหม่ถูกเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปเป็นวันที่ 1 เดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาด้านการสื่อสารที่ล่าช้าในยุคนั้น ยังคงมีประชาชนบางส่วนที่ไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่เชื่อเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว พวกเขายังจัดงานฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายนตามเดิม ทำให้คนอื่นๆ พากันเรียกพวกเขาว่า " พวกเมษาหน้าโง่" (April Fools) แล้วพยายามกลั่นแกล้งคนพวกนี้โดยส่งข้อความไปหลอก หรือล่อลวงให้หลงเชื่อเรื่องโกหกทั้งหลายว่าเป็นเรื่องจริงในปัจจุบัน วันที่ 1 เมษายนจะถูกเรียกว่า "oisson d'Avril" พวกเด็กๆ จะแกล้งเพื่อนๆ ด้วยการเอากระดาษรูปปลาไปแปะไว้ข้างหลัง เมื่อฝ่ายที่ถูกแกล้งรู้ตัว คนแกล้งจะตะโกนว่า "oissond'Avril!" (April Fish!) ซึ่งเป็นคำที่คนฝรั่งเศษใช้เรียกคนที่ถูกหลอก หรือถูกแกล้งในวันที่ 1 เมษายนและเช่นเดียวกัน ชาวอเมริกันก็นิยมหยอกล้อเพื่อนฝูง หรือคนแปลกหน้าในวันดังกล่าว ซึ่งการโกหกที่เป็นสากลที่สุดในวันนี้ คือการชี้ไปที่รองเท้าของเพื่อน และพูดออกมาว่า "เชือกรองเท้าของเธอหลุดแน่ะ" นอกจากนี้ ถ้าย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 พวกอาจารย์จะแกล้งบอกกับลูกศิษย์ของเขาว่า "ดูโน่นสิ! ฝูงห่าน" แล้วชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า ส่วนในโรงเรียนต่างๆ กลุ่มนักเรียนจะหลอกเพื่อนคนอื่นว่าโรงเรียนงดการเรียนการสอนในวันนั้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการโกหกแบบไหน เมื่อไหร่ที่เหยื่อตกหลุมพรางตามแผนที่คนแกล้งวางเอาไว้แล้ว คนแกล้งจะตะโกนออกมาว่า "April Fool!"
อีกหนึ่งกลอุบายในการกลั่นแกล้งที่แทบจะกลายเป็นธรมเนียมปฏิบัติ คือการเทเกลือลงในโถใส่น้ำตาลเพื่อแกล้งคนที่นั่งข้างๆ แน่นอนว่าวิธีนี้คงไม่ดีแน่ถ้าจะเล่นกับคนแปลกหน้า แต่สำหรับนักเรียนหอ พวกเขามักจะมีกลเม็ดเด็ดๆ ที่จะทำให้แกล้งฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแนบเนียน แถมได้ผลอยู่เสมอ นั่นก็คือการหมุนเข็มนาฬิกาของตัวเองให้เดินช้า 1 ชั่วโมง เพื่อหลอกรูมเมทให้มาเข้าชั้นเรียนผิดเวลาหัวใจของการโกหกในวัน April Fool Day คือความตลก โดยเรื่องที่โกหกต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ไม่ทำอันตรายให้คนอื่น ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่เกี่ยวกับความเป็นความตาย เพราะฉะนั้น กลอุบายที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะต้องทำให้ทุกคนหัวเราะได้ โดยเฉพาะคนที่ตกเป็นเหยื่อ








ข้อมูลดีๆจาก...www.วีกิพีเดีย

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

                                          ตำนานวันคริสต์มาส                                                        คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม




                                               
                                    องค์ประกอบในงานคริสต์มาส                        
ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
 
         นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง







                   
                       ถุงเท้า          

จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง




                
               ต้นคริสต์มาส
         
นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส





              ต้นฮอลลี่

          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์







ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia

มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง

ดอกคริสต์มาส Christmas Rose          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง


เพลงวันคริสต์มาส         
 เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก


คำอวยพรวันคริสต์มาส        
  ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

คำอวยพรจาก 5 หนุ่มทงบังชินกิ






                                         สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย         
 สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว



                     การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส








เทียนและพวงมาลัย

         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้





ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข



ดาว          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม




เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                          

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ


    ของขวัญวันคริสต์มาส
                    
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ







          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์



                          ข้อมูลดีๆจาก...http://hilight.kapook.com/view/18771




         

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลัทธิเปลือยกายนิยม

     ในงานแต่งงานหนึ่ีง บนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซียพ่อแของเจ้าสาวและแขกบางส่วนเปลือยกายมาร่วมงาน วึ้งสร้างความฮือฮาให้กับแขกต่างบ้านต่างเมืองที่มาพบเห็น แต่สำหรับชาวบ้านแถบนั้นแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติมาก การเปลือยกายถือเป็นเรื่องปกติ  เมื่อย้อนหลังไปในอดีตมีหลักฐานบันทึกว่ากีฬาโอลิมปิกที่ประเทศกรีซในครั้งแรกๆนั้น นักกีฬาทั้งหมดเปลือยกายในการแข่งขัน ซึ้งต่อมากฎข้อนี้ก็ต้ัองถูกยกเลิกไป แต่เ่ปัจจุบันก็ได้มีกลุ่มคนจัดตั้งลัทธิ " เปลือยการนิยม " พวกเขาเชื่อว่าการเปลือยกายเป็๋นการหลุดพ้นจากความเจริญทางเทคโนโลยีเพื่อให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น สมาชิกในลัทธินี้ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรปเนื่องจากพื้นที่ในแถบนั้นอากาศหนาวเย็นตลอดปี และไำม่ค่อยได้สัมผัสกับแสงแดด ดังนั้นเมื่อถึงฤดูร้อนพวกเขาจึงพากันมาเปลือยกายนอนอาบแดดนั้นเอง

                                                          จากหนังสือ 100 คำถามเรื่องแปลกแต่จริง

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทำไมใช้รูปหัวใจแทนคำว่า รัก

      หลายคนมักใช้รูปหัวใจแทนคำว่า "รัก"  รู้ไหมว่า ทำไมต้องเป็นรูปหัวใจสีแดงล่ะ
สมัยก่อนจอกศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุเหล้าองุ่นที่ใช้ในพิธีนมัสการพระเจ้าของชาวคริสต์จะมีสัญลักษณืรูปหัวใจติดอยุ่และเหล้าเหล่านี้ อัศวินในยุคกลางจะวางมือที่หน้าอกขณะกล่าวคำสาบานตน  นอกจากนี้เวลาที่เรารู้สึกรักหัวใจก็จะเต้นแรงกว่าปกติด้วย  ด้วยเหตุนี้เราจึงใช้สัญลักษณ์รุปหัวใจสีแดงแทนความหมาย     " ความรักอันบริสุทธิ์และศักดิ์"